จงยึดราวเหล็กไว้แน่นตลอดเวลา

จงยึดราวเหล็กไว้แน่นตลอดเวลา

หลายปีมาแล้วซิสเตอร์ฟังก์ไปร่วมงานแต่งงานของหลานสาวคนหนึ่งในพระวิหารคาร์ดสตัน แอลเบอร์ตา ขณะอยู่ในแคนาดาตอนใต้ เธอมีโอกาสเดินเท้าไปที่ทะเลสาบคริปต์ในอุทยานแห่งชาติวอเทอร์ตันเลคส์ เมื่อเธอเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงการไต่เขาที่สวยงามแต่ท้าทายเพื่อไปยังทะเลสาบแห่งนั้น เธออธิบายช่วงหนึ่งของการไต่เขาซึ่งจำเป็นต้องปีนขึ้นไปบนกำแพงหินตามขอบหน้าผา ถ้าลื่นก็อาจจะพลัดตกลงมาหลายร้อยฟุต โชคดีที่มีสายเคเบิลทำด้วยเหล็กยึดติดกับภูเขาเพื่อให้ผู้ไต่เขาจับไว้เมื่อพวกเขาต้องผ่านช่วงอันตรายของการเดินทางนี้ 

ขณะซิสเตอร์ฟังก์เล่าประสบการณ์นี้ เธอบอกว่าเธอคงไม่สามารถไปถึงทะเลสาบและชื่นชมความงามของประสบการณ์นั้นได้หากไม่มีความปลอดภัยอันเนื่องจาก ราวเหล็ก เธอยึดราวเหล็กนั้นไว้ตลอดเวลาเพื่อเธอจะไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย—ที่หมายซึ่งคุ้มค่ากับความพยายามดังกล่าว

เราร่วมกันสังเกตข้อเปรียบเทียบระหว่าง ประสบการณ์นั้นกับการเดินทางในชีวิตมรรตัยของเรา พระบิดาบนสวรรรค์ผู้ทรงรักเราทรงสร้างโลกที่สวยงามนี้ให้เราด้วยร่างกายมรรตัย เราสามารถชื่นชมประสบการณ์อันล้ำเลิศได้มากมาย เพราะพระองค์ทรงทราบว่าจะมีช่วงเวลายากลำบากและอันตรายในบางครั้ง พระองค์จึงประทานราวเหล็กให้เรายึดไว้ในการเดินทางของเรา ราวเหล็กดังกล่าวคือ พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่เปิดเผยแก่ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยในสมัยโบราณและในยุคสมัยของเรา

ในช่วงต้นของพระคัมภีร์มอรมอน เราเรียนรู้นิมิตของลีไฮเกี่ยวกับต้นไม้แห่งชีวิต “ซึ่งมีผลอันพึงปรารถนาที่จะทำาให้คนเป็นสุข”1 ในนิมิตนั้นมีคนอยู่สามกลุ่มซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังต้นไม้ กลุ่มแรกเริ่มต้นเดินในทางนั้น แต่แล้วก็พลัดออกนอกทางจนหลงไป2 กลุ่มที่สองจับราวเหล็กจนมาถึงจุดหมายและชิมผลของต้นไม้นั้นแต่แล้วก็ “กวาดตาของพวกเขาไปรอบ ๆ ประหนึ่งว่าพวกเขามีความละอาย” และ “ตกลงไปในทางที่ต้องห้ามและหายไป”3

ข้าพเจ้าสังเกตถึงการตอบรับที่คล้ายคลึงกันของคนสองกลุ่มนี้ กลุ่มแรกคือผู้ที่สนใจพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และดูเหมือนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ แต่ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์มอรมอน โดยปกติพวกเขาล้มเหลวที่จะก้าวหน้าต่อไปสู่พันธสัญญาแห่งบัพติศมาและในที่สุดก็เลิกสนใจ

กลุ่มที่สองคือผู้ที่เริ่มอ่านพระคัมภีร์ได้รับประจักษ์พยานถึงความจริงและเข้าสู่น้ำแห่งบัพติศมา แต่แล้วก็ล้มเหลวที่จะดื่มด่ำพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าต่อไป พวกเขาไม่ได้หยั่งรากลึก พวกเขาเป็นเหมือนคนเหล่านั้นที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิบายไว้ในอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช พวกเขางอกงามขึ้นมาแต่เนื่องจากไม่มีราก จึงทนอยู่เพียงชั่วคราว และเมื่อเกิดความยากลำบากหรือการข่มเหง “พวกเขาก็เลิกเสียทันที”4

กลุ่มที่สามประกอบด้วยผู้ที่ “มุ่งหน้าไปในทางของพวกเขา, โดยยึดราวเหล็กไว้แน่นตลอดเวลา, จนพวกเขาเข้ามาและทรุดตัวลงและรับส่วนผลของต้นไม้นั้น.”5 สังเกตว่ากลุ่มนี้ยึดราวเหล็กไว้แน่น ตลอดเวลา ดังที่เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์กล่าวไว้ว่า “นี่คือกลุ่มคนที่ท่านกับข้าพเจ้าควรพยายามเข้าร่วม”6

นีไฟเรียนรู้ว่าราวเหล็กคือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า, ซึ่งนำไปสู่แหล่งน้ำแห่งชีวิต, หรือสู่ต้นไม้แห่งชีวิต” ซึ่ง “เป็นสิ่งแทนความรักของพระผู้เป็นเจ้า.”7

ข้าพเจ้าขออธิบายวิธีการสำาคัญสามข้อซึ่งการศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์เป็นประจำาจะช่วยให้เราพยายามอยู่บนทาง ที่นำเราเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นได้

ข้อแรกคือการศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำสม่ำเสมอจะให้ช่วยเรารู้สึกถึงพระวิญญาณของพระเจ้า เราเรียนรู้เรื่องนี้ในบทแรกของพระคัมภีร์มอรมอน เมื่อลีไฮสวดอ้อนวอน “เพื่อผู้คนของท่าน” ท่านได้รับนิมิตซึ่ง “ท่านเห็นพระองค์หนึ่งลงมาจากท่ามกลางฟ้าสวรรค์” พร้อม “คนอีกสิบสองคนตามพระองค์ลงมาด้วย” และคนเหล่านั้น “ให้หนังสือแก่ท่านเล่มหนึ่ง, และบอกท่านว่าท่านควรอ่าน. และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือขณะที่ท่านอ่าน, ท่านเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า.”8 เราจะรู้สึกถึงพระวิญญาณเช่นกันเมื่อเราอ่านจากพระคัมภีร์

ข้อที่สอง เมื่อเราไตร่ตรองพระคัมภีร์ เราได้รับการดลใจ หนึ่งวันก่อนการประชุมใหญ่สามัญในเดือนตุลาคม ปี 1918 ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธกำลังเตรียมการประชุมใหญ่ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งใกล้จะสิ้นสุดแต่ผู้คนอีกมากมายกำลังจะตายเนื่องจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ มีหลายสิ่งที่ประธานศาสนจักรจะทำได้ในวันนั้น แต่ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 138 บอกถึงสิ่งที่ท่านทำดังนี้ “ข้าพเจ้านั่งไตร่ตรองพระคัมภีร์อยู่ในห้อง”9 เมื่อท่านทำเช่นนั้น ท่านครุ่นคิดถึงการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันสำคัญยิ่งของพระผู้ช่วย ให้รอดและความรักของพระบิดาและพระบุตร ท่านนึกถึงถ้อยคำของเปโตร 

ในพันธสัญญาใหม่และหันไปอ่านเรื่องราวเหล่านั้น ประธานสมิธบันทึกไว้ว่า “ขณะข้าพเจ้าไตร่ตรองถึงเรื่องเหล่านี้ ซึ่งมีเขียนไว้, พระวิญญาณทรงเปิดดวงตาแห่งความเข้าใจของข้าพเจ้า, และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตบนข้าพเจ้า…”10 จากนั้นท่านได้รับการเปิดเผยสำาคัญว่าจะสอนพระกิตติคุณแก่ผู้คนในโลกวิญญาณอย่างไร

เราจะไม่ได้รับการเปิดเผยสำหรับศาสนจักร แต่เราจะได้รับคำาตอบต่อคำสวดอ้อนวอนของเราและการนำาทางในชีวิตทุกด้านเมื่อเราทำตามรูปแบบของการไตร่ตรองพระคัมภีร์ การอ่านพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่มมีประโยชน์มาก แต่ข้าพเจ้าพบว่าเป็นประสบการณ์การเปิดเผยเป็นพิเศษเมื่อข้าพเจ้า “ไตร่ตรอง พระคัมภีร์” และปล่อยให้การไตร่ตรองของข้าพเจ้านำไปสู่คำาสอนที่พระวิญญาณ จะทรงนำทางข้าพเจ้าในเวลานั้น 

พรที่สามอยู่ในคำสัญญาของโมโรไนในช่วงท้ายของพระคัมภีร์มอรมอน โมโรไนกระตุ้นเตือนให้เราอ่าน จดจำาและไตร่ตรองคำาสอนของพระคัมภีร์และจากนั้นทูลถามพระผู้เป็นเจ้าด้วยใจจริง ด้วยเจตนาแท้จริง โดยมีศรัทธาในพระคริสต์ว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ ท่านสัญญาว่า “โดยอำานาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่านจะรู้ความจริงของทุกเรื่อง”11

คำนำของพระคัมภีร์มอรมอนสรุปการ กระตุ้นเตือนนี้และกล่าวว่า “บรรดาผู้ทำตามวิธีนี้และทูลถามด้วยศรัทธาจะได้รับ ประจักษ์พยานในความจริงและความศักดิ์สิทธิ์ของ [พระคัมภีร์มอรมอน] โดยอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” จากนั้นเสริมว่า “บรรดาผู้ที่ได้รับการเป็นพยานจากสวรรค์จากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มรู้โดยอำนาจเดียวกันนี้ว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลก, ว่าโจเซฟ สมิธ คือผู้เปิดเผยและศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในยุคสุดท้ายนี้, และว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคืออาณาจักรของพระเจ้าซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นอีกบนแผ่นดินโลก…”

พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราทรงสร้างโลกที่สวยงามให้เราอยู่อาศัย อย่างไรก็ตามใช่ว่าจะปราศจากเส้นทางปีนป่ายที่ยากลำบากและท้าทาย เพราะพระองค์ทรงรักเรา พระองค์จึงประทานราวเหล็ก—พระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเรายึดพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าไว้แน่นตลอดเวลา เราจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ เราจะได้รับการดลใจที่จำเป็น เราจะเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างลึกซึ้ง และไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตนิรันดร์ของเราอย่างปลอดภัย 

อ้างอิง

1. 1 นีไฟ 8:10

2. ดู 1 นีไฟ 8:21—23

3. ดู 1 นีไฟ 8:24—28

4. มาระโก 4:17

5. 1 นีไฟ 8:30

6. ดู เดวิด เอ. เบดนาร์, “A Reservoir of Living Water,” (ไฟร์ไซด์ระบบการศึกษา ของศาสนัจกรสำาหรับคนหนุ่มสาว, 4 กุมภาพันธ์ 2007), lds.org/broadcasts/archive/ces-devotionals/2007/01.

7. 1 นีไฟ 11:25

8. ดู 1 นีไฟ 1:5, 9—12