การเชื่อฟัง

การเชื่อฟัง

ข้าพเจ้าเกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่รู้จัก ไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำ ประปาพร้อมใช้ สถานที่นั้นเรียกว่าบ้านโป่ง ตำบลสันปูเลย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ในภาคเหนือของประเทศไทย ข้าพเจ้าเติบโตมาแบบเด็กท้องถิ่นชนบท วิ่งเล่นในท้องทุ่งท้องนา ดูแลวัวควาย และได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวชาวนาเคร่งศาสนาที่มีวินัยในการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง

หกสิบสามปีที่แล้ว เมื่อข้าพเจ้าอายุสี่ขวบ ข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียนในชุมชนเป็นระยะทางสองกิโลเมตร เมื่อข้าพเจ้าอายุแปดถึงสิบเอ็ดขวบ ข้าพเจ้าต้องเดินสี่กิโลเมตรไปโรงเรียนรัฐบาลอีกแห่งหนึ่งจากนั้นข้าพเจ้าเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาลระดับมัธยมต้นและจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเอกชน ข้าพเจ้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำ แหงและสำ เร็จการศึกษาในสาขาวิชาเอกภาษาอังกฤษและวิชาโทเศรษฐศาสตร์


ข้าพเจ้าชื่นชอบโครงการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณชนมาโดยตลอด ขณะอยู่ในมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าอาสาสมัครเป็นครูกวดวิชาวรรณกรรมอังกฤษและอเมริกาในนามของชมรมภาษาอังกฤษ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมปลาย วิทยาลัยอาชีวศึกษาและโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ของรัฐ นอกจากนี้ ครอบครัวเรายังเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสมาชิกศาสนจักรคนหนึ่งในการจัดค่ายภาษาอังกฤษสำ หรับวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยพยาบาลในจังหวัดตรังทางภาคใต้ของประเทศไทย ข้าพเจ้าโปรดปรานการสอนมากที่สุด ต่อมาในด้านงานอาชีพ ข้าพเจ้าทำ งานกับศาสนจักรเป็นผู้จัดการศูนย์บริการในประเทศไทย ประธานมูลนิธิศาสนจักรแอลดีเอส และเป็นผู้จัดการแผนกบริหารวัสดุอุปกรณ์ระดับเขต


สมัยที่ข้าพเจ้ายังเด็กมาก มีผู้สอนศาสนานิกายโปรเตสแตนท์มาเยี่ยมหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเรา พวกเขาจะร้องเพลงและสั่งสอนเรา ทุกอย่างดีไปหมดเพราะชาวบ้านทักทายและพูดคุยกับพวกเขา แต่หลังจากพวกเขามาเยี่ยมหมู่บ้านเราเสร็จแล้วและจากไป ชาวบ้านก็จะพูดจาหยาบคายเกี่ยวกับพวกเขาและล้อเลียนชื่อพระเยซูคริสต์ซึ่งพวกเขาสอน สิ่งนี้ทำ ให้ข้าพเจ้ามีคำถามมากมายเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่า “พระองค์เป็นใคร และทำไมพวกเขาพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับพระองค์”หลังจากนั้นเป็นเวลานานข้าพเจ้าจึงได้รับคำ ตอบสำ หรับคำ ถามหลายข้อของข้าพเจ้า 

เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายถามข้าพเจ้าว่า “วิศิษฐ์ เธอเชื่อไหมว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่” ข้าพเจ้าตอบเธอว่า “ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้” และเธอถามต่อ “วิศิษฐ์ เธอเชื่อไหมว่ามนุษย์พูดกับพระผู้เป็นเจ้าได้” ข้าพเจ้าตอบว่า “เธอบ้าไปแล้ว!!!” ไม่นานข้าพเจ้าพบผู้สอนศาสนาเมื่อเข้าร่วมโปรแกรมสมาคมพัฒนาสหกิจกรรม (MIA) และเริ่มฟังบทสนทนาของพวกเขา หลังจากนั้นไม่นานข้าพเจ้าตัดสินใจรับบัพติศมาเมื่อคุณพ่ออนุญาตให้ข้าพเจ้าลงลายมือชื่อแทนท่าน 

ตลอดสี่สิบสามปีในศาสนจักร ข้าพเจ้าได้รับการเรียกให้รับใช้งานมอบหมายต่าง ๆ ทั้งในระดับสาขา ท้องถิ่น คณะเผยแผ่ และสเตค งานมอบหมายที่ข้าพเจ้าชอบที่สุดคือเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับเพราะข้าพเจ้าได้ทักทายคนใหม่ ๆ ในวันอาทิตย์ ได้ช่วยให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นใจและพร้อมนมัสการในการประชุมศีลระลึก การเรียกและการปลดครั้งก่อน ๆ ช่วยให้ข้าพเจ้าพัฒนาความเป็นผู้นำ และมีวุฒิภาวะทางวิญญาณอย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

เรามีบุตรธิดาสองคน วิสุทธิพรกับวิสุชลักษณ์ ซึ่งตอนนี้อายุ 31 และ 30 ปีเราเป็นครอบครัวอดีตผู้สอนศาสนา ข้าพเจ้ากับสุมามาลย์ภรรยาข้าพเจ้า และวิสุทธิพรลูกชายของเรา รับใช้ในคณะเผยแผ่ประเทศไทย กรุงเทพ และวิสุชลักษณ์ลูกสาวของเรารับใช้ที่คณะเผยแผ่แคลิฟอร์เนีย โอกแลนด์ ข้าพเจ้ากับภรรยาเพิ่งเสร็จสิ้นงานเผยแผ่ของเราในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือสมาชิกและผู้นำ ผู้สอนศาสนาอาวุโสในเดือนตุลาคมปี 2013 การรับใช้งานเผยแผ่เป็นสิ่งดีที่สุดที่เราได้ทำ ในชีวิตมรรตัย 

ข้าพเจ้าขอบคุณและกตัญญูต่อคุณแม่ข้าพเจ้า แม้ท่านจะไม่เห็นด้วยกับความเชื่อใหม่ของข้าพเจ้าในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ก็ตาม ข้าพเจ้าถูกตัดขาดจากครอบครัวหลังจากรับบัพติศมา หลายคนที่รู้จักข้าพเจ้าเยาะเย้ยศรัทธาและประจักษ์พยานของข้าพเจ้าด้วยถ้อยคำรุนแรงซึ่งทำ ให้ข้าพเจ้ารู้สึกอ้างว้างมาก แต่ไม่มีสิ่งใดหยุดข้าพเจ้าจากการนมัสการพระเจ้าได้ เมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจลาออกจากงานอาชีพครูเพื่อรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา คุณแม่ข้าพเจ้าต้องการตัดข้าพเจ้าออกจากพินัยกรรมครอบครัว กระนั้นก็ตาม การทดลองและความยากลำ บากทั้งหมดในชีวิตข้าพเจ้ากลับเสริมสร้างศรัทธาและประจักษ์พยานที่เข้มแข็งในพระเยซูคริสต์ และเพราะวิถีชีวิตแบบแอลดีเอส คุณพ่อคุณแม่ข้าพเจ้าตลอดจนสมาชิกครอบครัว ญาติ ๆ และเพื่อนบ้านจึงยอมรับครอบครัวเรา ความขัดแย้งทั้งหมดในอดีตได้รับการแก้ไขคืนดีกันก่อนคุณแม่ข้าพเจ้าถึงแก่กรรม 


การเชื่อฟังเป็นส่วนสำ คัญอย่างยิ่งในการเติบโตทางวิญญาณของข้าพเจ้าตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจเลื่อมใสในปี 1971 เพราะหลักธรรมสำ คัญนี้ ศรัทธาและประจักษ์พยานของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์จึงค่อย ๆ เติบโต ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นนิมิตหรือภาพใดว่าผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาในคำ สอนของพระคริสต์จะออกมาเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้รับการยืนยันในใจถึงเรื่องราวพระคัมภีร์ที่วิสุทธิชนหนุ่มสาวทุกคนต่างรู้จักเกี่ยวกับอับราฮัมผู้ซึ่งได้รับบัญชาให้ถวายอิสอัคบุตรชายของเขาเป็นเครื่องพลีบูชา และทั้งอับราฮัมกับอิสอัคยอมตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เทพนิยาย “ต่อมาพระเจ้าทรงทดลองอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า ‘อับราฮัม’ ท่านทูลว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่’ พระองค์ตรัสว่า ‘จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า’…”1 ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการเชื่อฟังนำ ไปสู่การปฏิบัติ ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงคาดหวังให้ข้าพเจ้าทำ สิ่งใดหลังบัพติศมา ยิ่งข้าพเจ้าเรียนรู้มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ยิ่งได้รับการกระตุ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าการเปิดเผยในพระคัมภีร์เป็นความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “…เนื่องจากการเชื่อฟังกฎนั้นซึ่งในนั้นทรงกำ หนดพรไว้”2


เมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าเห็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ของศาสนจักร ข้าพเจ้านึกถึงสมัยที่เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่มีความรู้มากมายเกี่ยวกับพระคัมภีร์หรือคำ สอนของศาสนจักร ข้าพเจ้าเพียงแต่รุดไปข้างหน้าโดยให้ศรัทธานำข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ของศาสนจักรว่าพวกเขาจะเติบโต ก้าวหน้า และจะได้รับพรพระกิตติคุณในชีวิตด้วยการเชื่อฟัง ดังที่ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าค้นพบความรอดได้โดยการเชื่อฟังกฎของพระเจ้าในการรักษาพระบัญญัติ ในการทำ งานแห่งความชอบธรรม และการดำเนินตามรอยพระบาทของพระผู้ทรงเป็นผู้นำ ของเรา พระเยซู องค์ต้นแบบและประมุขของสิ่งทั้งปวง”3

ข้าพเจ้าทำ ตามพระบัญญัติสิบประการโดยสุดความสามารถของข้าพเจ้าตั้งแต่รับบัพติศมา ข้าพเจ้ารับส่วนศีลระลึกทุกวันสะบาโต จ่ายส่วนสิบเต็มด้วยความซื่อสัตย์ เต็มใจรับใช้ในศาสนจักร ศึกษาพระคัมภีร์ สวดอ้อนวอน และจัดสังสรรค์ในครอบครัว ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเรียบง่ายที่ทำ ได้ในชีวิต ในที่สุดข้าพเจ้าพิสูจน์ตนเองได้แล้วว่าการเชื่อฟังเรียกร้องสิ่งสำ คัญสองอย่าง “ดูเถิด, พระเจ้าทรงเรียกร้องใจและความคิดที่เต็มใจ…”4 และข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าทำ “…อย่าเบื่อหน่ายในการทำ ดี…และจากสิ่งเล็กน้อยบังเกิดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่”5 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าศาสนจักรนี้จริง ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองได้รับเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า เราจะได้รับพรตราบเท่าที่เราเชื่อฟังในวิธีของพระเจ้า ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง
1 ดู ปฐมกาล 22:1-13, 16-18.
2 ดู หลักคำ สอนและพันธสัญญา 130:21.
3 คำ สอนของประธานศาสนจักร: โจเซฟ ฟิลดิงก์ 
สมิธ (2013), 229.
4 ดู หลักคำ สอนและพันธสัญญา 64:34.
5 ดู หลักคำ สอนและพันธสัญญา 64:33.